เลเซอร์แก๊ส (Laser Gas)
เลเซอร์แก๊ส (Laser Gas)
แก๊สที่ใช้ในงานตัดชิ้นงาน งานแกะสลัก งานเชื่อม สำหรับ CO2 Laser
ปัจจุบันเทคโนโลยีเลเซอร์แก๊สได้รับการนำมาประยุกต์ใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรมและทางการแพทย์ คำว่า "LASER" ย่อมาจาก "Light Amplification by Stimulated Emission of Radiation" หมายถึงการขยายแสงโดยการกระตุ้นให้อะตอมหรือโมเลกุลปล่อยรังสี (แสง) ที่มีคุณสมบัติพิเศษออกมาพร้อมกันในปริมาณมาก ทำให้ได้ลำแสงที่มีความเข้มสูง มีทิศทางเดียวกัน และมีความยาวคลื่นเดียวกัน
เลเซอร์แก๊ส (หรือ Lasing gases) ถูกใช้เพื่อสร้างแสงเลเซอร์ โดยหลักการทำงานของ CO2 Laser คือการปล่อยกระแสไฟฟ้าผ่านแก๊สเฉื่อยหรือส่วนผสมของแก๊สชนิดต่างๆ กระบวนการนี้ก่อให้เกิดการกระตุ้นอิเล็กตรอนภายในอะตอมของแก๊ส ส่งผลให้อิเล็กตรอนถูกยกระดับไปสู่วงโคจรที่มีพลังงานสูงรอบนิวเคลียสของอะตอม เมื่ออิเล็กตรอนกลับคืนสู่สถานะพลังงานต่ำตามปกติ จะเกิดการปลดปล่อยอนุภาคของแสงที่เรียกว่า โฟตอน ซึ่งโฟตอนเหล่านี้มีคุณสมบัติเด่นคือการปล่อยแสงที่มีความยาวคลื่นคงที่ ซึ่งขึ้นอยู่กับปริมาณพลังงานที่ถูกปลดปล่อย
เนื่องจากพลังงานทั้งหมดมีความยาวคลื่นเดียวกัน จึงเกิดการปล่อยแสงสีเดียวในสเปกตรัมของสี ในขณะที่การปล่อยแสงที่มีความยาวคลื่นหลากหลายจะเกิดเป็นแสงธรรมชาติ และความยาวคลื่นที่สม่ำเสมอจะสร้างสีเดี่ยว เช่น สีแดงหรือสีน้ำเงิน
เลเซอร์แก๊สโดยทั่วไปหมายถึงส่วนผสมของแก๊สที่ใช้ในเลเซอร์แก๊ส ส่วนผสมหลักสำหรับเลเซอร์ประกอบด้วย Helium (He), Nitrogen (N2) และ Carbon Dioxide (CO2) ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายในงานอุตสาหกรรม เช่น การตัดและการแกะสลัก นอกจากนี้ยังมีแก๊สเติมแต่งอื่น ๆ เช่น แก๊สออกซิเจน แก๊สไฮโดรเจน แก๊สซีนอน และแก๊สคาร์บอนมอนอกไซด์ เพื่อเพิ่มคุณสมบัติเฉพาะสำหรับงานเลเซอร์ในบางประเภท
1.แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2): เป็นตัวกลางหลักที่ทำให้เกิดแสงเลเซอร์โดยตรง สามารถผลิตแสงเลเซอร์ในช่วงอินฟราเรดกลาง เลเซอร์ CO2 มีประสิทธิภาพในการแปลงพลังงานไฟฟ้าเป็นแสงเลเซอร์สูง (สามารถสูงถึง 20%) ให้กำลังเอาต์พุตสูง เหมาะสำหรับงานอุตสาหกรรมที่ต้องการพลังงานมาก นอกจากนี้ CO2 ไม่เป็นพิษเหมือน CO ทำให้มีความปลอดภัยในการใช้งานมากกว่า
2.แก๊สคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO): เป็นตัวกลางที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการแปลงพลังงานไฟฟ้าเป็นแสงเลเซอร์ และปรับปรุงคุณภาพของลำแสงเลเซอร์ให้มีความเสถียรมากขึ้นหรือมีความเข้มสม่ำเสมอมากขึ้น CO มีคุณสมบัติในการดูดซับพลังงานที่แตกต่างจาก CO2 การผสม CO อาจช่วยให้แก๊สในเลเซอร์ดูดซับพลังงานได้ดีขึ้นในบางความถี่ ซึ่งเหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง เช่น ในงานวิจัยหรืออุตสาหกรรมที่มีความต้องการเฉพาะ
3.แก๊สไฮโดรเจน (H2): ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการแปลงพลังงานเป็นแสงเลเซอร์ ไฮโดรเจนมีคุณสมบัติในการนำความร้อนที่ดี ทำให้ลำแสงมีคุณภาพสูงขึ้น เช่น มีความโฟกัสดีขึ้น ไฮโดรเจนเป็นส่วนประกอบสำคัญในเลเซอร์เคมีบางประเภท เช่น เลเซอร์ฟลูออรีน-ไฮโดรเจน (HF) หรือเลเซอร์ดิวทีเรียม-ฟลูออรีน (DF)
4.แก๊สซีนอน (Xe): ใช้เพื่อปรับแต่งคุณสมบัติของเลเซอร์ ซีนอนสามารถผลิตแสงเลเซอร์ในช่วงอินฟราเรดและอัลตราไวโอเลต ทำให้สามารถออกแบบเลเซอร์ให้เหมาะกับงานเฉพาะทางได้
5.แก๊สไนโตรเจน (N2): ช่วยกระตุ้นโมเลกุล CO2 ให้อยู่ในสถานะพลังงานที่สูงขึ้น ทำให้กระบวนการสร้างแสงเลเซอร์มีประสิทธิภาพมากขึ้น การเพิ่ม N2 ช่วยให้ลำแสงเลเซอร์มีความเสถียรมากขึ้นและลดความผันผวนของกำลังเอาต์พุต
6.แก๊สฮีเลียม (He): ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเลเซอร์โดยช่วยระบายความร้อนของส่วนผสมแก๊ส ทำให้เลเซอร์สามารถทำงานที่กำลังสูงได้โดยไม่เกิดความเสียหายจากความร้อน
สัดส่วนที่แน่นอนของแก๊สที่ใช้ในเลเซอร์อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับการออกแบบเลเซอร์ของแต่ละผู้ผลิตและการใช้งานเฉพาะ อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนทั่วไปของส่วนผสมแก๊สสำหรับ CO2 เลเซอร์คือประมาณ 10-20% CO2, 10-20% N2 และ 60-80% He นอกจากนี้ เลเซอร์แก๊สประเภทอื่นๆ อาจใช้ส่วนผสมแก๊สที่แตกต่างกัน เช่น เลเซอร์เอ็กซ์ไซเมอร์ (Excimer Laser) ซึ่งใช้แก๊สเฉื่อยผสมกับซีนอน (Xenon) หรือเลเซอร์ฮีเลียม-นีออน (He-Ne Laser) ซึ่งใช้ส่วนผสมของฮีเลียมและนีออนสำหรับเลเซอร์แก๊ส ค่าปนเปื้อนน้ำหรือ H2O ควรไม่เกิน 5 ppm เพื่อให้แน่ใจว่าเลเซอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการปนเปื้อน
ตัวอย่าง เลเซอร์แก๊สแบบสำเร็จรูป (prepackaged)
ชื่อแก๊ส |
Components (ส่วนผสม) |
||||||
Xenon |
O2 |
CO |
H2 |
CO2 |
N2 |
Helium |
|
TIGCS Laser Gases 1 |
|
|
|
|
5.50% |
29% |
balance |
TIGCS Laser Gases 2 |
|
|
|
|
3.14% |
31.40% |
balance |
TIGCS Laser Gases 3 |
|
|
|
|
15.60% |
3.40% |
balance |
TIGCS Laser Gases 4 |
|
|
|
|
4.50% |
13.50% |
balance |
TIGCS Laser Gases 5 |
|
|
|
|
1.70% |
23.40% |
balance |
TIGCS Laser Gases 6 |
|
|
|
|
6% |
20% |
balance |
TIGCS Laser Gases 7 |
|
|
|
|
5% |
35% |
balance |
TIGCS Laser Gases 8 |
|
|
|
|
5% |
29% |
balance |
TIGCS Laser Gases 9 |
|
|
|
|
4% |
26% |
balance |
TIGCS Laser Gases 12 |
|
|
|
|
5% |
balance |
40% |
TIGCS Laser Gases 13 |
|
|
|
|
5% |
25% |
balance |
TIGCS Laser Gases 14 |
|
|
2% |
|
8% |
8% |
balance |
TIGCS Laser Gases 15 |
|
|
4% |
|
6% |
balance |
28% |
TIGCS Laser Gases 16 |
|
|
4% |
|
8% |
16% |
balance |
TIGCS Laser Gases 17 |
|
|
|
0.25% |
7.50% |
15% |
balance |
TIGCS Laser Gases 18 |
|
|
4% |
0.50% |
6% |
16% |
balance |
TIGCS Laser Gases 19 |
|
|
3% |
0.30% |
7% |
13% |
balance |
TIGCS Laser Gases 20* |
3% |
3% |
6% |
|
4% |
19% |
balance |
TIGCS สามารถจัดหาส่วนผสมแก๊สเลเซอร์ได้ทั้งแบบสำเร็จรูป (prepackaged) และแบบกำหนดเอง (custom) เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของเครื่องเลเซอร์แต่ละประเภท ลูกค้าสามารถระบุเปอร์เซ็นต์ความเข้มข้นที่ต้องการตามที่ผู้ผลิตเครื่องเลเซอร์กำหนดได้
หลังจากได้ลำแสงเลเซอร์ (Laser Beam) แล้ว การตัดด้วยเลเซอร์เป็นกระบวนการทางความร้อน โดยความร้อนที่จำเป็นในการทำให้วัสดุถึงจุดระเหยหรือจุดหลอมเหลวจะมาจากลำแสงเลเซอร์ ลำแสงเลเซอร์จะถูกโฟกัสด้วยเลนส์ (Focus lens) ให้รวมเป็นจุดโฟกัสเดียว ซึ่งทำให้เกิดความหนาแน่นของพลังงานสูงพอที่จะทำให้วัสดุส่วนใหญ่หลอมละลายหรือระเหยได้ทันที
ในการตัดด้วยเลเซอร์ จำเป็นต้องใช้แก๊สช่วย (Assist Gas) เพื่อขับโลหะที่หลอมละลายหรือระเหยแล้วออกไป และในบางกรณี แก๊สช่วยอาจมีบทบาทสำคัญในการกระบวนการตัดด้วย เช่น การใช้ออกซิเจนในการตัดเหล็ก แก๊สช่วยจะทำให้การเคลื่อนที่ของลำแสงเลเซอร์สามารถแพร่กระจายไปเรื่อย ๆ ทำให้เกิดร่องตัด (Cut Kerfs) หรือช่องว่างที่เกิดจากการตัดวัสดุด้วยเลเซอร์
โดยปกติเราจะใช้แก๊สช่วย (Assist gas) เช่น แก๊สไนโตรเจน(Nitrogen) หรือ แก๊สออกซิเจน(Oxygen) ในการตัดชิ้นงานขึ้นอยู่กับชนิดของชิ้นงาน ความหนา และปัจจัยอื่น ๆ ดังนี้
Assist Gas - Nitrogen (N2)
- คุณสมบัติและการใช้งาน: แก๊สไนโตรเจนใช้เป็นแก๊สช่วย (Assist Gas) เหมาะสำหรับการตัดเหล็กทุกประเภท (ทั้งเหล็กกล้าและเหล็กกล้าไร้สนิม) และอลูมิเนียม (Aluminum) โดยใช้ความดันสูง (12-35 บาร์) ช่วยในการขับน้ำโลหะออกจากร่องตัดได้อย่างมีประสิทธิภาพสำหรับเหล็กอ่อนที่บางกว่า 4 มม. การใช้แก๊สไนโตรเจนจะให้ความเร็วในการตัดที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับการใช้แก๊สออกซิเจน เหมาะสำหรับงานที่ต้องการผลิตชิ้นงานจำนวนมากในเวลาจำกัดปริมาณแก๊สไนโตรเจนที่ใช้ในกระบวนการตัดอาจมีอัตราการไหลสูงถึง 120 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง ซึ่งช่วยในการระบายความร้อนและขับน้ำโลหะออกจากร่องตัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ การใช้แก๊สไนโตรเจนในการตัดด้วยเลเซอร์เหมาะสำหรับงานที่ต้องการคุณภาพการตัดสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องการรอยตัดที่สะอาดปราศจากออกไซด์ต้นทุนของการใช้ไนโตรเจนค่อนข้างสูงกว่าเนื่องจากใช้แก๊สในปริมาณมากและมีราคาสูงกว่าออกซิเจน
Assist Gas - Oxygen (O2)
- คุณสมบัติและการใช้งาน: แก๊สออกซิเจนใช้เป็นแก๊สช่วย (Assist Gas) เหมาะสำหรับการตัดเหล็กอ่อน (Mild Steel) โดยเฉพาะ ใช้ความดันต่ำกว่า 3 บาร์ ซึ่งต่ำกว่าการใช้แก๊สไนโตรเจนมาก กระบวนการนี้มีประสิทธิภาพสูงในการตัดเหล็กอ่อนแต่จะเกิดการออกซิเดชัน (เกิดสนิม) บริเวณรอยตัด เนื่องจากแก๊สออกซิเจนทำปฏิกิริยากับเหล็ก เหมาะสำหรับงานที่ต้องตัดเหล็กหนา และไม่มีปัญหาเรื่องการเกิดออกไซด์ที่รอยตัด โดยให้ความเร็วในการตัดสูงกว่าสำหรับเหล็กที่หนามากกว่า 8 มม. ใช้แก๊สในปริมาณน้อยกว่าแก๊สไนโตรเจนมาก (ต่ำกว่า 2-3 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง) ซึ่งช่วยประหยัดต้นทุนในการใช้แก๊ส
เพื่อให้การตัดชิ้นงาน งานแกะสลัก งานเชื่อมของเหล็ก(Steel) สแตนเลส(Stainless) หรืออลูมิเนียม(Aluminum) โดยใช้ CO2 เลเซอร์มีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องใช้ Lasing gas และ Assist gas อย่างถูกต้อง ทั้งนี้ในการออกแบบระบบแก๊สจะขึ้นกับปริมาณการตัดชิ้นงานของลูกค้า ชนิดของวัสดุ และความหนาของชิ้นงาน (โดยปกติไม่เกิน 40 มิลลิเมตร หรือ 4 เซนติเมตร)
สนใจข้อมูลเพิ่มเติมหรือสั่งซื้อสินค้า โทร.02-348-0541 LINE ID : @TIGCS